ครอบครัวสมัยนี้ มักจะมีสัตว์เลี้ยงที่ถือว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวด้วย ซึ่งพอบอกว่าเป็นสมาชิกของครอบครัวแล้ว ก็แน่นอนว่าจะมีการดูแลอย่างดี เช่นเดียวกับคนเลยแหละ มีอุปกรณ์ของใช้อย่างดี อาหารการกิน บางทีค่าอาหารของสัตว์เลี้ยง แพงกว่าอาหารของคนเสียอีก ยิ่งบ้านไหนที่มีเงินหน่อย เปิดแอร์ให้อยู่ในห้องก็มีให้เห็นกันตามสื่อต่างๆ และนี่ก็เป็นที่มาของคำว่า ทาสแมวหรือทาสหมานั่นเองครับ

จากข้อมูลในเว็บไซด์ Brandbuffet.in.th พูดถึงตลาดผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยเติบโตทุกปี เฉลี่ยปีละ 10% ปีที่ผ่านมามีมูลค่าอยู่ที่ 40,000 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนอาหารสัตว์ 45% หรือ 18,000 ล้านบาท เติบโต ทั้งด้านมูลค่า ผู้ซื้อ และผู้ผลิต สรุปได้ 4 เทรนด์ดังนี้
1. ครัวเรือนที่มีแมวเติบโตเร็วกว่าครัวเรือนที่มีสุนัข
จากข้อมูลของ Kantar Worldpanel ในประเทศไทย ที่ได้รวบรวมโปรไฟล์ของแต่ละครัวเรือนรวมไปถึงจํานวนสมาชิก รายได้ครัวเรือน การเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะมีแมวหรือสุนัขหรือทั้งสองอย่าง
พบว่าจํานวนครัวเรือนที่เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น หากเทียบไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 กับไตรมาสที่ 3 ปี 2564
จํานวนครัวเรือนที่มีสัตว์เลี้ยง “แมว” เติบโตเร็วกว่าครัวเรือนที่เลี้ยง “สุนัข” โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑลเติบโตเร็วกว่าในพื้นที่อื่นๆ
2. ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงยอดขายเติบโต
แม้ว่าจะมีครัวเรือนที่มีสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น แต่ปัจจุบันมีน้อยกว่า 50% ที่ซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงแบบบรรจุหีบห่อ ทําให้ยังมีช่องว่างของโอกาสที่จะเข้าสู่ตลาดได้ โดยอาหารแมวแข่งขันสูงเนื่องจากมีการแย่งชิงส่วนแบ่งจากผู้ผลิตหลายราย โดย 8 แบรนด์ครองส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 80% ในขณะที่อาหารสุนัขมีผู้เล่นหลักอยู่ 5 ราย
“เจ้าของแมวซื้อสินค้าแบรนด์มากกว่าเจ้าของสุนัข”
ขณะที่แบรนด์ใหม่เกิดขึ้นจํานวนมาก แต่ผู้บริโภคยังคงซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงโดยเฉลี่ย 2 แบรนด์ต่อปี การเติบโตของผู้ซื้อส่วนใหญ่มาจาก “อาหารแมว” ส่วนอาหารสุนัขนั้นฐานผู้ซื้อกําลัง “หดตัว” หากดูตามมูลค่ายอดขายตลาดรวมอาหารสัตว์เลี้ยงยังเติบโต ดังนั้นผู้ผลิตที่ต้องการเข้าสู่ตลาดนี้ จะต้องมีกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับอาหารสุนัขและอาหารแมว
3. เทรนด์ Premiumization กับแบรนด์อาหารสุนัขและอาหารแมว โดยอาหารแมวแบบเปียกถูกซื้อมากกว่าอาหารสุนัขแบบเปียก โดยมีสัดส่วนต่างกันที่ 15% นั่นหมายถึงอาหารแห้งยังครองตลาดส่วนใหญ่แต่อาหารแมวแบบเปียกเติบโตเร็วกว่าอาหารแห้ง แบรนด์ต่างๆ ควรโฟกัสสินค้ารูปแบบนี้ โดยกลุ่มสินค้าระดับพรีเมียมและซูเปอร์พรีเมียมเติบโตมากที่สุด ในขณะที่อาหารรูปแบบตักซึ่งเคยเป็นที่นิยม แต่ตอนนี้ผู้ซื้อกําลังเปลี่ยนไปใช้รูปแบบบรรจุภัณฑ์แทน
4. ไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อกำลังเติบโต
Pet Shop และ Provision Store เป็นช่องทางสำคัญสําหรับอาหารสัตว์เลี้ยง โดยครองส่วนแบ่งมูลค่ายอดขายมากที่สุด ส่วนโมเดิร์นเทรด โดยเฉพาะไฮเปอร์มาร์เก็ต และ ร้านสะดวกซื้อ กําลังเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับช่องทาง “ออนไลน์” ที่มีความสําคัญเพิ่มขึ้น โดยผู้ซื้อมักจะเลือกช่องทางนี้เมื่อต้องการกักตุนสินค้า ดังนั้นการเข้าสู่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย แบรนด์ต่างๆ จะต้องเตรียมพร้อมสําหรับการจัดจําหน่ายทั้งในโมเดิร์นเทรดรวมไปถึงอีคอมเมิร์ซ และช่องทางการค้าแบบดั้งเดิม

ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกเติบโต 5-6% ต่อเนื่อง
ในปี 2564 มีมูลค่า 5 ล้านล้านบาท (หรือมียอดขายปลีกประมาณ 131,000 – 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องสูงถึง 7% ตลอดช่วง 5 ปีนับจากนี้ (ปี 2564-2569)
โดยอาหารแมวเติบโต 8% อาหารสุนัข เติบโต 7% กลุ่มอาหารเปียกเติบโต 11% อาหารแห้งเติบโต 5.3%
พอรู้แบบนี้แล้ว อยากให้ลองหาช่องทางทำยอดขายจากทาสแมวหรือทาสหมาดูนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้คนมีลูกน้อยลง แต่หันมาเลี้ยงสัตว์เหล่านี้มากขึ้น
#munforward #munfm #มันเอฟเอ็ม #มันฟอร์เวิร์ด #วิทยุอินเตอร์เน็ต #เพราเพราะ #เพลง #music
ฟังเพลงจากศิลปินไทยและสากลได้หลายช่องทาง
web. www.munforward.com
app. MUNforward
fm. 93 MUNforward เชียงใหม่
fm. 102.5 MUNforwardXtra เชียงใหม่
fb. MUNforward
ig. MUNforwardofficial
tw. MUNforwardth
line. MUNforward